ปลาดุกผัดพริกแกงกะเพรากรอบ Stir fry spicy catfish ปลาดุกผัดพริกแกงกะเพรากรอบ Stir fry spicy catfish
สูตรปลาดุกผัดพริกแกงกะเพรากรอบ
-ส่วนผสม
ปลาดุก 1 กก.
พริกแกง 150 กรัม
กระชาย 50 กรัม
พริกชี้ฟ้าเขียว,แดง อย่างละ3เม็ด
ใบมะกรูดซอย 4 ใบ
น้ำตาลทราย 4-5 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
– ส่วนผสมการล้างปลาดุก
ปลาดุก 1 กก.
เกลือ 2-3 ช้อนโต๊ะ
แป้งมัน 100 กรัม
วิธีทำปลาดุกผัดพริกแกงกะเพรากรอบ
ชั่งตวงวัด ส่วนผสมเครื่องปรุงต่างๆ ให้เรียบร้อยสูตรจะได้ไม่คลาดเคลื่อนนะคะ
– วิธีล้างปลาดุก
ในอ่างผสม ให้ล้างปลาดุก 2-3 น้ำ จากนั้นใส่เกลือ 1 ถุงจากนั้นคลุกเคล้าขยำให้เกลือละลาย
เมื่อเมือกคาวออกแล้ว เปิดน้ำให้น้ำไหลผ่านล้างอีก 2-3 น้ำ
จากนั้นนำแป้งมันมาขยำอีกรอบ แป้งมันจะช่วยดับกลิ่นคาวและเมือกได้ หมักไว้ 5 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด สะเด็ดน้ำ
– วิธีการทำปลาดุกผัดเผ็ด
นำปลาดุกมาใส่ลงในอ่างผสม ใส่แป้งทอดกรอบลงไป คลุกเค้าให้เข้ากัน
ตั้งน้ำมันให้ท่วม ไฟกลางทอดกระเพรากรอบก่อน พอกรอบตักขึ้นพักไว้
นำปลาดุกชุบแป้งลงทอดให้กรอบ สุกเหลืองทองจนแห้ง ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน
ตั้งกระทะใส่พริกแกงลงไป น้ำมันเล็กน้อยผัดให้พริกแกงหอมหวล ผัดด้วยไฟอ่อน
ปรุงรสด้วยน้ำปลา ผงชูรส น้ำตาล ตามด้วย กระชาย พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบ
ใส่ปลาดุกลงไป หรี่ไฟให้อ่อน ผัดคลุดเค้าให้เข้ากันดีพร้อมเสิร์ฟ
จัดเสิร์ฟโดย ตักปลาดุกผัดเผ็ดใส่จาน โรยด้วยใบมะกรูด กระเพรากรอบ ต้องเรียกข้าวสวยร้อนๆซักจานแล้วค่ะ ทานให้อร่อยนะคะ
VIDEO ขอขอบคุณข้อมูล – คุณ ครัวบ้านๆ แต่อร่อยดี จาก https://www.youtube.com/watch?v=EXypQng1kfY
วัตถุดิบปลาดุกผัดพริกแกงกะเพรากรอบ
sugar
น้ำตาล (Sugar) คือ สารประกอบคาร์โบไฮเดรตประเภทโมโนแซ็กคาไรด์ (monosaccharide) และไดแซ็กคาไรด์ (disaccharide) ซึ่งมีรสหวาน โดยทั่วไปจะได้มากจากอ้อย มะพร้าว แต่โดยทั่วไปแล้วจะเรียกอาหารที่มีรสหวานว่าน้ำตาลแทบทั้งสิ้น เช่น ทำมาจากตาลจะเรียกว่าตาลโตนด ทำมาจากมะพร้าวจะเรียกว่าน้ำตาลมะพร้าว ทำมาจากงวงจากจะเรียกว่าน้ำตาลจาก ทำมาจากงบจะเรียกว่าน้ำตาลงบ ทำมาจากอ้อยแต่ยังไม่ได้ทำเป็นน้ำตาลทรายจะเรียกว่าน้ำตาลทรายดิบ ถ้านำมาทำเป็นเม็ดจะเรียกว่าน้ำตาลทราย หรือถ้านำมาทำเป็นก้อนแข็งคล้ายกรวดจะเรียกว่าน้ำตาลกรวด ฯลฯ
salt
เกลือ (Salt) หรือเกลือโซเดียมนั้นมีแร่ธาตุหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมก็อาจส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย ดังนี้ ป้องกันภาวะความดันโลหิตต่ำ,ป้องกันภาวะขาดน้ำ และป้องกันการขาดไอโอดีน แต่ต้องรับประทานในขนาดที่เหมาะสมต่อวันมิเช่นนั้นจะเดิดโทษต่อร่างกาย มากกว่าได้ประโยชน์
Post Views:
1,017
